วันจันทร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2555

วันสิ้นปี

อรุณสวัสดิ์เช้าวันสุดท้ายของปี 31 ธ.ค. 55

ในทางสมมุติก็เรียกได้ว่าปีเก่ากำลังจะผ่านไปแล้ว เราก็ควรจะได้มีโอกาศลองทบทวนไตร่ตรองสำรวจตรวจสอบตนเองถึงสิ่งที่ได้ประพฤติปฏิบัติมาในปีนี้ว่ามีความถูกต้องหรือไม่ถูกต้องประการใดเพื่อรู้จัักตนเองในแง่มุมต่างๆของปีที่ผ่านมา แเหมือนกับว่าเมื่อสิ้นสุดการทำการงานก็ต้องมีการสรุปวิเคราะห์งานที่ทำมาเพื่อหาแนวทางพัฒนาต่อไป

(ติกฺขปัญฺโญ)

วันเสาร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ที่สุด

ที่สุดแห่งความเสียดาย คือตายก่อนจะรู้อะไรเป็นอะไรตามความเป็นจริงทั้งหมด

ที่สุดแห่งความสลด คือรู้อะไรในโลกจนหมดแต่ไม่รู้เกิดมาทำไม

(ติกฺขปัญฺโญ)

วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2555

คนดี-คนชั่ว

คนชั่ว ก็จะต้องมีความทุกข์ ไปตามประสาของคนชั่ว
คนดี ก็จะต้องมีความทุกข์ ไปตามประสาของคนดี

ความดีความชั่วนั้นเป็นเรื่องของสมมุติ ต่อเมื่อจิตพ้นไปจากเรื่องสมมุติเหนือความดีความชั่ว คือมีจืตอยูเหนือฐานะที่จะเกลียดความชั่วหรือรักความดีนั่นแหละจึงจะเป็นการพ้นจากโลก หรือพ้นจากทุกข์ตามแบบของพระอริยเจ้า.

-ท่านอาจารย์ พุทธทาส-

มั่งมีหมดเมื่อมอดม้วย

"อย่ามัวลุ่มหลงในความร่ำรวยมั่งมี เพราะเมื่อตายกลายเป็นผีมีแต่ความดีที่ติดตัวไป"

รูปสวย รวยทรัพย์ในปัจจุบันมันเป็นเพียงการแสดงตัวของกรรมวิบากที่สร้างไว้ในอดีตส่งผลมา มันไม่ได้ช่วยการันตีอะไรในวันพรุ่งนี้

ปัจจุบันคืออนาคตของวันวานและเป็นอดีตของวันรุ่งพรุ่งนี้ ฉะนั้นจงเร่งสร้างความดีละความเห็นแก่ตัว เกรงกลัวความชั่วซะตั้งแต่วันนี้ อย่ามัวหลงระเริงเห่อเหิมกับวัตถุที่ปรนเปรอจิตใจไหลไปสู่อบาย ก่อนจะสายเมื่อไม่มีคำว่าพรุ่งนี้.

(ติกฺขปัญฺโญ)

วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2555

แหล่งกำเนิดสุข

ความสุขนั้นไม่มีราคา จึงไม่อาจหาซื้อเอาได้

ความสุขนั้นเป็นของให้เปล่า จึงได้มาโดยไม่ต้องแลกกับอะไร

ความสุขนั้นเกิดขึ้นภายในใจที่สะอาด สว่าง สงบ

(ติกฺขปัญฺโญ)

เกิดมาเพื่ออะไร?

เราทุกคนไม่ได้เกิดมาเพียงเพื่ิิอแสวงหาสะสมกิน กาม เกียรติ เพื่อนำเอามาแบกหามไว้ให้ต้องเวียนตายเวียนเกิดซ้ำอยู่ร่ำไปไม่สิ้นสุด การเกิดมันเป็นจุดตั้งต้นของทุกข์ทั้งมวล

หากแต่เราทุกคนเกิดมาก็เพื่อเรียนรู้ว่าอะไรเป็นอะไรตามความเป็นจริง กล่าวคือ รู้ว่าอะไรคือทุกข์ รู้ว่าอะไรคือเหตุให้เกิดความทุกข์ รู้ว่าอะไรคือความดับทุกข์ รู้ว่าอะไรคือวิธีการไปสู่ความดับทุก รู้ว่าอะไรคือส่วนอดีต รู้ว่าอะไรคือส่วนอนาคต รู้ทั้งส่วนอดีตส่วนอนาคต รู้ว่าอะไรๆในโลกล้วนแล้วแต่ไม่มีตัวตนถาวรเป็นแต่เพียงการปรากฏขึ้นช่ัวคราวด้วยอาศัยเหตุและปัจจัยเท่านั้น

หากเรารู้ว่าอะไรเป็นอะไรดังนี้ย่อมไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์กับเขาชาติหนึ่ง.

(ติกฺขปัญฺโญ)

วันอังคารที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2555

วางไว้ใจสบาย

เมื่อวางความรู้สึกทั้งหลายลงด้วยความผ่อนคลาย ไม่ยินดียินร้ายในผลที่ปรากฏตรงหน้าเห็นว่าทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย จิตใจย่อมปรากฏความเบาสบายอย่างอัศจรรย์.

(ติกฺขปัญฺโญ)

วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เช้าแห่งสติ

อรุณสวัสดิ์ทุกท่านในวันพระ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๑ และขอแสดงความยินดีที่ท่านทั้งหลายได้อ่านข้อความนี้ เพราะนั่นแปลว่าเราทั้งหลายยังมีชีวิตอยู่ทั้งผู้เขียนและผู้อ่าน โลกทางวัตถุก็ยังคงดำรงอยู่ไม่ได้แตกสลาย

จงเริ่มต้นเช้าวันใหม่ด้วยความสุขง่าย ๆ เพียงแค่หัดรู้สึกตัวตื่นรู้อยู่กับปัจจุบัน อาจจะเริ่มจากลองสังเกตจิตใจตัวเองเมื่อได้อ่านข้อความนี้ก็ได้นะครับ ว่ารู้สึกอย่างไรในขณะนี้ อ่านจบแล้วรู้สึกอย่างไร ก่อนจะทำกิจวัตรประจำวันก็ให้รู้สึกตัวก่อนว่าเรากำลังจะไปทำอะไรต่อ ขณะทำก็รู้อยู่ ทำอยู่แต่แอบคิดเรื่องอื่นก็รู้สึก

เท่านี้ท่านทั้งหลายก็ได้ชื่อว่าเรื่องต้นวันใหม่ด้วยความรู้สึกตัว อันเป็นการปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันอย่างง่าย ๆ ครับ^_^

(ติกฺขปัญฺโญ)

วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2555

อะไรสำคัญกว่า

โลกจะแตกแหลกลานลงตรงหน้า
ใช่ปัญหาน่าคิดหรือไฉน
ควรตั้งหน้าหมั่นทำดีอยู่ร่ำไป
ขจัดให้ใจละชั่วมั่วอบาย
พุทธองค์ทรงสอนทางประเสริฐ
เพื่อให้เกิดปัญญาพาผ่องใส
ให้ยึดมั่นความดีทั้งกายใจ
เพื่อจะได้ความดับถูกทุกข์ประจำ
ไม่ให้มัวถือมงคลหรือตื่นข่าว
ถึงเรื่องราวของโลกาอวสาน
ให้รู้แต่ปัจจุบันใช่วันวาน
พระนิพพานคือที่สุดหลุดพ้น...เอยฯ

(ติกฺขปัญฺโญ…10/04/54)

วันอังคารที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ความเจริญจอมปลอม

ถ้ามีความเจริญเพียงว่ามีทรัพย์สินเงินทองมากขึ้นอย่างเดียว แต่มีความเห็นแก่ตัวมากขึ้น อย่างนั้นไม่ถือว่ามีความเจริญในการศึกษาหรือในการพัฒนาชีวิตที่แท้จริง

มีโทสะ มีความเกลียดชัง มีกิเลสต่างๆ มากขึ้นก็เช่นเดียวกัน

- พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)-

นรก สวรรค์ ในการงาน

 
จะทำงานอะไรจงทำไปด้วยใจรัก ทำด้วยความถูกต้องแล้วก็พอใจที่ได้ทำ ตกเย็นมานั่งทบทวนว่าวันทั้งวันเราทำอะไรไปบ้าง เมื่อมันถูกต้องหมดแล้วก็เย็นใจ ชื่นใจ ยกมือไหว้ตัวเองได้ มันก็ขึ้นสวรรค์ที่นั่นและเดี๋ยวนั้นนั่นเอง...

แต่หากทำงานไปด้วยหวังค่าจ้างรางวัล เงินมันก็ขึ้นมาอยู่บนหัวของเราเหยียบเราให้หนักให้เหนื่อย ต้องทนๆๆๆเพื่อจะได้เงินมา ทำงานไปมันก็กลุ้มใจไป เหนื่อยไป คิดว่าเมื่อไรจะสิ้นเดือน ตกเย็นก็ไม่มีอะไรที่จะพอใจ ยกมือไหว้ตัวเองไม่ได้มันก็ตกนรกที่นั่นและเดี๋ยวนั้นนั่นเอง..

(ติกฺขปัญฺโญ)

พ่อ แม่ ลูกที่สมบูรณ์

พ่อแม่ที่สมบูรณ์ ไม่ใช่คนที่ต้องร่ำรวยเงินทองชื่อเสียงลาภยศสามารถซื้อของแพง ๆ ตามแต่ใจลูกปรารถนาได้ ไม่ใช่ผู้ที่เอาแต่ตามใจลูกจนยกขึ้นเหนือหัวเป็นเทวดานางฟ้าบนสรวงสวรรค์

หากแต่เป็นแค่เพียงคนธรรมดา ๆ ที่รู้จักสอนให้ลูกที่เป็นคนธรรมดา ๆ ให้เป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง ไม่เห็นแก่ตัว รู้จักให้และแบ่งปัน เคารพเชื่อฟังผู้ใหญ่

ส่วนลูกที่สมบูรณ์ คือ ลูกที่เคารพเชื่อฟังพ่อแม่ สำนึกในพระคุณและหาโอกาศทดแทนคุณตามโอกาสและความสามารถของตนที่เป็นอยู่ในปัจจุบันอยู่เสมอ.

(ติกฺขปัญฺโญ)

หลงใหล

ผู้ใดหลงใหลในตำราและอาจารย์
ผู้นั้นไม่อาจพ้นทุกข์ได้
แต่ผู้ที่จะพ้นทุกข์ได้
ต้องอาศัยตำราและอาจารย์เหมือนกัน

หลวงปู่ดูลย์

ตื่นจากความคิด

เมื่อรู้ปัจจุบันว่าเราอยู่ในอิริยาบถใด หายใจเข้าหรือออก เมื่อนั้นจิตย่อมตื่นขึ้นจากโลกของความคิด.

(ติกฺขปัญฺโญ)

เรียนรู้ธรรมกลางกรุง ๓

บทเรียนสุดท้ายที่ได้เรียนรู้จากเมื่อวานนี้(๑ ธ.ค.๕๕) คือ เมื่อเราอยู่กับปัจจุบันด้วยการทำความรู้สึกถึงอิริยาบถในขณะปัจจุบันนั้น ๆ ของเราจิตใจจะปลอดโปร่งโล่งเบาขึ้นมาเป็นขณะ ๆ

พอจิตใจเคลื่อนไหวออกไปจากการรับรู้อิริยาบถปัจจุบันเราก็สังเกตดูรู้สึกว่าจิตใจมันเคลื่อนไหวไปนึกคิด พอรู้สึกตัวความคิดมันก็ดับไป

จิตก็กลับมาสัมผัสอยู่กับปัจจุบันขณะที่หายใจเข้า-ออก ในอิริยาบถนั้นๆด้วยความสุขสงบเย็น เห็นทุกอย่างว่า "เช่นนั้นเองๆๆ" ใจก็เป็นอิสระยิ้มออกมาจากภายในตลอดเวลา

(ติกฺขปัญฺโญ)

เรียนรู้ธรรมกลางกรุง ๒

สิ่งที่สองที่ได้เรียนรู้จากเมื่อวาน( ๑ ธ.ค.๕๕) คือ คนที่แพ้แล้วถอยนั้น มาจากการที่ตนเองกระโดดลงไปอยู่ในสิ่งที่เห็น ไปเป็นเจ้าของของความรู้สึกที่เกิดจึงมีความรู้สึกทุกข์ใจหดหู่ใจจนไม่อาจจะทนได้จึงต้องใส่เกียร์ถอยออกมา แต่การถอยนั้นไม่ใช่มีเพียงชนิดที่ยอมแพ้อย่างที่คนทั่วๆไปเข้าใจอย่างเดียว

หากแต่ยังมีการยอมถอยอีกชนิดหนึ่งที่ตรงกันข้ามกับชนิดแรกอย่างสิ้นเชิง นั่นคือถอยออกมาเป็นผู้รู้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นผู้ดูอยู่ห่างด้วยจิตใจที่ตั้งมั่นสงบเย็นจะมีแต่ความสุขที่เอิบอาบอยู่ทุกขณะ ไม่ว่าจะเห็นอะไร จะรู้สึกอะไร เราก็ไม่ไปหยิบฉวยสิ่งที่เห็น หรือความรู้สึกนั้นว่าเป็นเรา เป็นของเรา จิตใจก็โปร่งโล่งเบา มีความสุขทุกขณะ

....จำไว้!! ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นอย่าเข้าไปคลุกไปจมอยู่กับมันจนเห็นว่ามันเป็นเรา เป็นของเรา แต่ให้ถอยออกมาดูอยู่ห่างๆ การเฝ้าดูนั่นมีความสุขกว่าการเข้าไปยึดถือครอบครองนะครับ^_^

(ติกฺขปัญฺโญ)

เรียนรู้ธรรมกลางกรุง ๑

สิ่งแรกที่ได้เรียนรู้วันนี้(๑ธ.ค.๕๕) คือ การตั้งใจทำอะไรให้ใครโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน พอใจแค่ได้ทำได้ให้นั้นมันทำให้จิตใจเราปลอดโปร่งโล่งเบาสงบเย็นดีเหลือเกิน แค่เห็นเขามีความสุขก็พอใจในสุขนั้น เท่านั้น แค่นั้น พอแล้วๆ^_^ ... ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่เคยไกลตัวเราเลย อยู่กับเราทุกๆวัน ทุกๆขณะที่ยังหายใจอยู่ หากเข้าใจแล้วนำมาปฏิบัติย่อมเกิดผลทุกคนไป...สูดหายใจลึกๆ นึกถึงลมหายใจเข้า-ออกบ่อยๆ แล้วชีวิตจะง่ายขึ้นเอง

(ติกฺขปัญฺโญ)

การศึกษาวิถีพุทธ

"เป็นสิ่งที่น่าเศร้าว่าเมืองไทยเป็นเมืองพุทธมาตั้งนานแล้ว แต่เราเพิ่งเริ่มจะคิดพัฒนาเรื่องการศึกษาวิถีพุทธ หลังจากที่การศึกษาของชาติถูกย้ายออกจากโรงเรียนวัดแล้วก็มีแต่ระบบของฝรั่ง ฝรั่งเขาผิดพลาดอย่างไรเราก็ยินดีผิดพลาดตามเขา บางครั้งถือควา...
มผิดพลาดของเขาไปเรียกว่าความเจริญก็มี

อะไรที่เป็นเรื่องล่าสุดของเขา เราก็ถือว่าเป็นเรื่องทันสมัย หลงคำว่าทันสมัยว่าต้องดีเสมอไป ของเราเป็นของอกาลิโก ไม่ขึ้นกับกาลเวลา สิ่งที่เราสามารถเอามาใช้ประโยชน์อย่างแท้จริงได้ตลอดเวลา"

- พระอาจารย์ชยสาโร-

จะให้หรือจะเอา

 
หากคุณทำอะไรให้ผู้อื่นแล้วรู้สึกว่าเหนื่อย ให้รู้ไว้เถอะว่าคุณกำลังทำเพื่อตัวเอง!

เพราะหากคุณทำไปด้วยจิตที่คิดให้เขาจริงคุณจะไม่ไปคาดหวังผลตอบแทนอะไรจากเขาแม้เพียงเล็กน้อย จิตใจก็จะสบาย ว่าง สว่าง สงบ ปราศจากความบีบเค้นด้วยการรอคอยผลให้เหนื่อยใจ

ในทางกลับกันหากคุณทำให้ไปด้วยความหวังว่ามันจะต้องได้ผลอะไรสักอย่างกลับมา เช่น คำขอบคุณ รอยยิ้ม ความรัก ความชื่นชมยินดี เป็นต้น ในระหว่างที่ทำนั้นใจก็ดิ้นรนเฝ้ารอด้วยความทะยานอยากอยู่ลึกๆ เมื่อจิตใจดิ้นรนย่อมทำให้เกิดความเหนื่อยล้า

ดั้งนั้น หากปากบอกว่า"ให้"แต่ใจดิ้นรนจนเหนื่อยอ่อนนั่นแปลว่าคุณกำลังทำเพื่อตัวเอง.

(ติกฺขปัญฺโญ)

มนุษย์หรือเปล่า?

เวลามีคนมาด่าเราว่า "สัตว์" เรามักจะรู้สึกโกรธอย่างมากจนนอยากจะเอาคืนเขาให้สาสมเท่าที่จะทำได้...โดยที่ไม่เคยคิดที่จะย้อนกลับเข้ามาสำรวจดูตนเองเลยว่าเรานั้นเป็นมนุษย์แล้วหรือยัง?

คำว่ามนุษย์นั้นมาจากคำ ๒ คำ คือ มานะ แปลว่า ใจ อุษย แปลว่า สูง มนะ + อุษย์ = มนุษย์ / มนุษย์ จึงแปลว่า ผู้มีใจสูง

ผู้มีใจสูง หรือ มนุษย์นั้น หมายถึง สูงจากกเลสเครื่องล่อใจทั้งหลายเป็นผู้มีปกติไม่ฆ่าทำร้ายหรือใช้ผู้อื่นฆ่าทำร้ายสัตว์ ไม่หยิบฉวยหรือฉ้อโกงของของผู้อื่น ไม่ประพฤติผิดในกามหรือแย่งชิงของรักของคนอื่น ไม่กล่าววาจาที่ไม่เป็นความจริง เพ้อเจอ ส่อเสียด หยาบคายหรือนินทา สุดท้ายเป็นผู้มีปกติไม่ดื่มสุราเครื่องดองของเมาและยาเสพติดทุกชนิดอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท

หากว่าไม่ได้มีใจสูงด้วยมีปกติไม่ผิดศีล ๕ แล้ว ก็ยังไม่ใช่มนุษย์ เป็นได้แต่เพียงสัตว์ชนิดหนึ่งที่เสมอกับเดรัจฉานที่เรียกว่า "คน"

(ติกฺขปัญฺโญ)

บุตรที่ประเสริฐ

พระพุทธองค์ทรงตรัสถึงเรื่องของบุตร ว่ามี ๓ ชนิด คือ ๑.บุตรที่เลวกว่าบิดามารดา ๒.บุตรที่เสมอกับบิดามารดา ๓.บุตรที่ดีกว่าบิดามารดา (ในทางด้านวัตถุ เช่น ทรัพย์สินเงินทอง เป็นต้น) โดยใน ๓ ชนิดนี้พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญว่า "ในบรรดาบุตรทั้งสามชนิดนี้ บุตรที่เชื่อฟังบิดามารดาประเสริฐที่สุด"

(ติกฺขปัญฺโญ)

พอดีสุข

ความสุขนั้นไม่ได้เกิดจากการแสวงหา หรือการได้มาซึ่่งสิ่งภายนอกอย่างที่เราถูกกระแสของโลกวัตถุนิยมมันหลอกเอา...หากแต่ความสุขที่แท้จริงนั้นมันเกิดขึ้นจากใจที่พอกับสิ่งที่มี สิ่งที่ได้ สิ่งที่เป็นต่างหากเล่า ไม่ใช่ของนอกตัว ไม่ใช่การครอบครอง ไม่ใช่การยึดถือ แต่เป็นความพอใจอย่างถูกต้องที่ว่างจากตัวตนผู้พอใจเท่านั้นเอง.

(ติกฺขปัญฺโญ)

สามัคคีไทย

ชาติของเรารักษาเอกราชอธิปไตยมาได้จนถึงทุกวันนี้ด้วยความสามัคคี คนไทยเราแต่ละคน รู้จักประโยชน์ส่วนรวมของชาติ รู้จักปฏิบัติหน้าที่ให้สอดคล้องและเกื้อกูลกัน ผลการปฏิบัติของเรานั้นจึงเกิดเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ ซึ่งสามารถกำจัดและป้องกันภัยต่าง ๆ มิให้ทำอันตรายแก่เราได้ แม้จะมีศัตรูคิดร้าย บุกรุกคุกคามอย่างหนักหนาเพียงใด เราก็ยังไม่เพลี่ยงพล้ำ ขอให้ทุกคนสำนึกตระหนักว่า ความสมัครสมานสามัคคีของเรานั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ที่จะต้องรักษาไว้ให้ยั่งยืนอยู่ตลอดไป หากเรามีความประมาท เราแตกสามัคคีกันเมื่อใด เราก็จะเป็นอันตรายย่อยยับลงเมื่อนั้น ไม่มีใครอื่นที่ไหนจะช่วยเราได้ นอกจากตัวเราเอง..."

พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ

เพราะคิดผิด


เมื่อเราเห็นด้วยตนเองและเข้าใจเรื่องกิเลสแล้ว เราจะเห็นความทุกข์หลายๆอย่างในชีวิตเรานี้ไม่จำเป็นเลย มันไม่ได้เกิดเพราะดวงไม่ดีหรือเพราะกรรมเก่า แต่เกิดเพราะความคิดผิดของเราต่างหาก

(พระอาจารย์ชยสาโร)

สิ่งที่พุทธศาสนาสอน

 
พระพุทธศาสนาสอนอยู่สิ่งเดียว คือ สัมมา หรือความถูกต้องเท่านั้นเอง ตั้งแต่มีปัญญาเห็นถูกต้อง คิดพิจารณาถูกต้อง พูดจาถูกต้อง มีความประพฤติถูกต้อง เลี้ยงชีพถูกต้อง มีความพยายามถูกต้อง มีความรู้สึกถึงกายใจอย่างถูกต้องไม่ปล่อยจิตใจล่องลอย และมีจิตตั้งมั่นถูกต้อง เหล่านี้เป็นทางอันถูกต้องที่จะนำไปสู่เป้าหมายอันสูงสุดคือความสิ้นทุกข์ทั้งมวล.

(ติกฺขปัญฺโญ)

คิดถึงความตาย

หากเราหมั่นคิดถึงความตายอยู่ทุกลมหายใจเข้า-ออก คิดว่าความตายเป็นของแน่นอน แต่เวลาตายไม่แน่นอน เราต้องตายแน่ ทุกชีวิตมีความตายความแตกสลายเป็นที่สุด เราก็จะสามารถมีความสุขได้อย่างง่ายดายในทุกๆ เช้าที่ตื่นนอนขึ้นมาแล้วพบว่าเรายังมีลมหายใจที่เข้า-ออกอยู่ เมื่อเราดำเนินชีวิตเข่นนี้ย่อมไม่มีความประมาทอันจะเป็นช่องว่างที่จะให้ความทุกข์ทั้งหลายแทรกผ่านเข้ามาได้.
 

(ติกฺขปัญฺโญ)

เหตุแห่งความสุข..และควาทุกข์

อันว่าสุข นั้นสุขได้ เมื่อใจพอ
มิใช่รอ แต่ขอ เป็นมือผลาญ
ปัจจุบัน ที่มีอยู่ ไม่ยืนนาน
อย่ามัวคลาน ตามใจตัว จนชั่วกาล

ในวันนี้ มีสิ่งใด ให้พอจิต
อย่าไปคิด ลุ่มหลง จงอาจหาญ
จงยืนหยัด ความถูกต้อง อยู่ชั่วกาล
อวสาน ความทุกข์ ด้วยปัจจุบัน

...
ที่หายใจ ออกเข้า คอยรู้สึก
จิตคิดนึก สิ่งใด อย่าเหหัน
หมั่นรู้สึก ที่กายใจ ทุกวี่วัน
รู้สึกนั้น คือรู้แจ้ง แทงทุกข์เอยฯ

(ติกฺขปัญโญ)

ความสบายใจ

ความสบายใจไม่ได้อยู่ที่การพยายามทำทุกสิ่งให้ได้ดั่งใจ แต่อยู่ที่การยอมรับว่าไม่มีอะไรจะได้ดั่งใจเราทั้งหมด...

( พระอาจารย์ชยสาโร)

ชีวิตคู่

ชีวิตคู่ คือ การเข้าใจและยอมรับว่าคนที่อยู่ข้างๆเรานั้นมีทั้งส่วนที่เข้ากันได้ และส่วนที่เข้ากันไม่ได้ตามความเป็นจริง

สิ่งที่สมบูรณ์แบบมักจะมีสิ่งที่บกพร่องอยู่เสมอ ดังนั้นสิ่งที่ดูมีจุดบกพร่องอยู่นั่นสมบูรณ์แล้ว

เมื่อเราเข้าใจ ก็จะไม่โดดเข้าคิดให้เจาเปลี่ยนให้ได้ดังใจเรา เพราะเราเองก็คงไม่อาจจะเปลี่ยนไปเป็นได้ดั่งใจเขา ต่างคนควรปรับตัวเข้าหาเข้าใจกัน ไม่ใช่อยู่กับที่แล้วให้อีกฝ่ายหนึ่งเป็นเปลี่ยนแปลงฝ่ายเดียว

ดังนั้นจึงควรทำเข้าใจและยอมรับซึ่งกันและกัน และข้างเติบโตโตไปพร้อมๆกันบนเส้นทางของความรัก เท่านี้ชีวิตคู่ก็จะราบรื่นและมีความสุข.

(ติกฺขปัญฺโญ)

คู่แท้...ไม่ใช่ของตาย

คำว่าคู่แท้ไม่ใช่หมายความว่าของตาย คำว่าคู่แท้หมายความว่า คู่ที่พร้อมจะปรับตัวเข้าหากันและกัน คู่ที่พร้อมจะปรับคลื่นความคิด ปรับคำพูด แล้วก็ปรับการกระทำให้สามารถที่จะกลมกลืน กลมเกลียว แล้วก็หยั่งรากอยู่ด้วยกันได้ตลอดไป นั่นคือความหมายของคู่แท้ คู่แท้ไม่ได้มีอยู่อย่างถาวร ไม่ใช่อะไรที่อยู่ๆ มีอยู่ในธรรมชาติ มีอยู่ในจักรวาล อยู่ๆ ก็มาเจอกันโดยไม่มีเหตุไม่มีผล มันมีเหตุมีผลทางความคิด คำพูด และการกระทำเสมอ ที่คือสิ่งที่พุทธ-
ศาสนาสอนไว้ ทุกสิ่งทุกอย่างมันมีรากมาจากความคิด คำพูด และการกระทำนะครับ แม้แต่คู่แท้ก็มีรากมาจากความคิด คำพูด และการกระทำที่กลมกลืนกันนั่นเอ

(ดังตฤณ)

ความสุขจากความตาย

ถ้าเราไม่ต้องตาย วันแต่ละวัน เวลาแต่ละวินาที ก็จะดูไม่มีค่า เหมือนกับเด็กวัยรุ่นที่ไม่เห็นค่าของเวลา ตรงกันข้ามกับคนป่วยหนักหรือเป็นมะเร็ง ส่วนใหญ่จะเห็นค่าของวันเวลาที่เหลืออยู่ เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วเห็นเช้าวันใหม่ แค่นี้เขาก็มีความสุขแล้วที่วันนี้ยังไม่ตาย ยังมีเวลาที่จะได้ทำสิ่งที่อยากทำ ความรู้สึกแบบนี้จะไม่มีกับวัยรุ่นหรือแม้แต่คนทั่วไปเพราะเขาคิดว่ายังมี เวลาเหลือเฟือในโลกนี้

ความสุขจะหาได้ง่ายขึ้นมาก ถ้าเราตระหนักว่าเราต้องตายไม่ช้าก็เร็ว มีบางคนที่ทุกเย็นเมื่อได้เห็นหน้าลูก หน้าสามีภรรยา แค่นี้เขาก็มีความสุข และขอบคุณชีวิต ในขณะที่หลายคนกลับมีความสุขยากเหลือเกิน ต้องการโน่น ต้องการนี่ ตัวเองมีอยู่แล้วก็ไม่พอ ก็เพราะเขาลืมว่าสักวันหนึ่งเขาต้องตาย ไม่ว่าจะได้อะไรมาก สักวันหนึ่งก็ต้องสูญเสียมันไป

(พระไพศาล วิสาโล)

สติ

สติมาทางเลือกมีให้เลือกมาก
สติพรากเลือนลางทางเลือกหาย
สติอยู่คอยรู้จิตคิดวุ่นวาย
สติหายกายใจก็เลอะเลือน
สติตั่งมั่นรู้คอยดูจิต
สติชิดแนบแน่นเห็นใจเหมือน
สติดีรักษาจิตมิบิดเบือน
สติเลื่อนไปตั้งมั่นพลันรู้…เอย

(ติกฺขปัญโญ)

อนาคต

อนาคต คือ สิ่งที่เราสร้างขึ้นจากปัจจุบัน หากเราอยากรู้อนาคตจงดูที่ปัจจุบัน…ต้องการอนาคตเช่นไรจงสร้างปัจจุบันไว้ให้สมควรกับผลที่ตนปรารถนาเถิด.

(ติกฺขปัญโญ)

ความสุขแท้

ความสุขที่แท้จริง คือ สิ่งที่ไม่ต้องอาศัยปัจจัยภายนอ
ความสุขที่ลวงหลอก คือ สิ่งบอกให้เราดิ้นรนแสวงหาสิ่งภายนอกมาปรนเปรอตน


(ติกฺขปัญโญ)

ถ้าปราศจากธรรมะ

ถ้ารัฐบาลปราศจากธรรมะของศาสนาที่ตนนับถือ ย่อมไม่มีทางแก้ไขปัญหาปากท้อง หรือปัญหาการเมืองการปกครองได้เลย…ถ้าผู้นำรัฐบาลปราศจากธรรมะของศาสนาของตนๆ บ้านเมืองก็จะมีแต่การฉ้อราษฎร์บังหลวงจนทำให้เดือดร้อนกันไปทุกหย่อมหญ้า…จริงหรือไม่ลองคิดดูเถิด.
(ติกฺขปัญฺโญ)

เคยไหม

หลวงพ่อชา ... โยมเคยปวดหัวไหม

โยม ... เคยเจ้าค่ะ

หลวงพ่อชา ... โยมเคยเจ็บฟันไหม

โยม ... เคยเจ้าค่ะ
...


หลวงพ่อชา ... โยมเคยปวดท้องไหม

โยม ... เคยเจ้าค่ะ

หลวงพ่อชา ... โยมเคยเจ็บหางไหม

โยม ... ?????
โยม ... ก็หางมันไม่มีนี่เจ้าค่ะ

หลวงพ่อชา ... มีในสิ่งใด แล้วยึดมั่นในสิ่งนั้น
ก็ย่อมเจ็บ ย่อมทุกข์เอง
เมื่อไม่มี ไม่ยึด จะเอาอะไร มาทุกข์ ...

(หลวงปู่ชา สุภัทฺโท)

โลกสงบสุขได้เมื่อหมดความเห็นแก่ตัว

ความรักผู้อื่นอย่างเต็มหัวใจโดยปราศจากเงื่อนไขนี่แหละจะช่วยให้โลกรอดพ้นจากวิกฤตการณ์ และนำสันติภาพกลับมาได้…เพราะเมื่อเรารู้จักรักผู้อื่นมันจะทำให้ความเห็นแก่ตัวค่อยๆถูกขจัดให้ลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ เมื่อมนุษย์หมดความเห็นแก่ตัวโลกก็สงบสุข

(ติกฺขปัญฺโญ)

ระบบการศึกษา

ถ้าระบบการศึกษาของเรา ผลิตคนออกมา
ที่มีคุณสมบัติ ทุกข์ง่าย สุขยาก
ผิดหวังอะไร นิดหน่อย ใครพูดอะไรไม่ถูกใจ นิดหน่อย
ก็โกรธ เสียใจ น้อยใจ
ก็ทำให้ครอบครัว ไม่มั่นคง
สามีภรรยาอยู่ด้วยกันปีสองปี
ทะเลาะกัน หรือว่ามีอะไร ผิดใจกัน ก็หย่ากัน
แล้วก็มีผลกระทบต่อตัวเขาเองมาก
มีลูกหลาน ก็มีปัญหาที่เป็นลูกโซ่ต่อไป


(พระอาจารย์ ชยสาโร
)

ว่างจากเหตุให้เกิดทุกข์

ถ้าอยากเอาดี มันก็จะหลงดี เมาดี ยึดดี ถือดี และทุกข์อย่างคนดีบ้าดี

ถ้าอยากเอาชั่ว มันก็จะหลงชั่ว เมาชั่ว ยึดชั่ว ถือชั่ว และทุกข์อย่างคนช่ัว

ถ้าไม่อยากเอาอะไร ไม่อยากเป็นอะไร ดำเนินชีวิตอยู่เพียงเพื่อทำหน้าที่อย่างถูกต้อง…เสร็จแล้วก็พอใจๆ ไม่ต้องไปยึดถือว่าเป็นตัวเรา เป็นของเรา

"เท่านี้ก็ว่างจากเหตุให้เกิดทุกข์ลงได้"

(ติกฺขปัญฺโญ)

ปลายทางของรักแท้

สุดท้ายปลายทางของชีวิตคุณทั้งสองจะตอบได้ว่าคนเรามีรักแท้ไปทำไม รักแท้จะทำให้ใจคุณนิ่ง ไม่ซัดส่าย ไม่หลงทาง และไม่มืดยามตาย

ถ้าเชื่อมั่นว่าระหว่างอยู่ด้วยกัน ต่างฝ่ายต่างเป็นแรงบันดาลใจให้อยู่อย่างสว่าง ก็ย่อมหวังได้ว่าจะพบกันในความสว่าง รูปชีวิตต่อไปของพวกคุณจะถูกตกแต่งให้เป็นที่สบาย และแม้เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ สายตาของพวกคุณจะมองไม่เห็นตัวเลือกอื่น บุญก็จะคุมไม่ให้พวกคุณตัดสินใจผิดคิดเลือกใครมาแทนคู่แท้เลย แม้ตัวเลือกจะมากมายขนาดไหนก็ตา

(หนังสือรักแท้มีจริง)

จะสุข...เมื่อ

จะสุขมากเมื่ออยากลด
จะสุขหดเมื่ออยากมี
จะสุขดีเมื่ออยากน้อย
จะสุขเกินร้อยเมื่อน้อย ลด หมดอยาก…

(ติกฺขปัญฺโญ)

ความรัก

ความรักไม่ใช่เกมส์กีฬาที่มีไว้ให้คนบ้าเอามาแข่งกัน
ความรักคือการแบ่งปันไม่ใช่แข่งขันเอาเป็นเอาตาย
ความรักมันคือการให้โดยไม่ใช่เพื่อได้อะไรกลับมา
ความรักไม่ต้องการเวลานั่นก็เพราะว่าไม่ต้องการอะไร
ความรักคือการเสียสละด้วยการละความเห็นแก่ตัว
ความรักคือการละชั่วแล้วทำตัวให้ดีขึ้นไป
ความรักคือความสดใสคือรักด้วยใจที่ไม่เบียดเบียน
ความรักจะอยู่ต่อไปหากเงื่อนไขมันไม่มีเอย...


(ติกฺขปัญฺโญ)

ผู้มีสติ

ผู้ใดมี "สติ" ... อยู่ทุกเวลา
ผู้นั้นก็จะได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้า...อยู่ตลอดเวลา

เพราะว่า เมื่อตามองเห็นรูป...ก็เป็นธรรม
หูได้ยินเสียง...ก็เป็นธรรมะ
จมูกได้กลิ่น...ก็เป็นธรรมะ
ลิ้นได้รส...ก็เป็นธรรมะ
ธรรมารมณ์ที่เกิดขึ้นกับใจ นึกขึ้นได้เมื่อใด...เป็นธรรมะเมื่อนั้น
...

ฉะนั้น "ผู้มีสติ"
จึงได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา...ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอน
มันมีอยู่ทุกเวลาเพราะอะไร ? เพราะเรามีความรู้อยู่

ในเวลานี้ เราจึงเรียนอยู่กลางธรรมะ
จะเดินไปข้างหน้า...ก็ถูกธรรมะ
จะถอยไปข้างหลัง...ก็ถูกธรรมะ

ท่านจึงให้มี "สติ"
ถ้ามีสติแล้ว มันจะเห็นกำลังใจของตน เห็นจิตของตน
ความรู้สึกนึกคิดของตัวเองเป็นอย่างไร ก็ต้องรู้
รู้ถึงที่แล้ว ก็รู้แจ้งแทงตลอด

...เมื่อมันรอบรู้อยู่เช่นนี้
การประพฤติปฏิบัติ มันก็ถูกต้องดีงามเท่านั้นแหละ
 


-หลวงปู่ชา สุภัทโท-

ฉันต้องการความสุข

มนุษย์ทุกคนในโลกมีสิ่งหนึ่งที่คิดตรงกันเสมอ คือ "ฉัน ต้องการ ความสุข" แต่เคยสังเกตไหมว่ายิ่งความคิดนี้มันชัดเจนในหัวเราเท่าไรก็จะยิ่งผลักดันให้เราออกแสวงหา"ความสุข"มากขึ้นเท่านั้น ซึ่งผลที่ออกมากลับทำให้ยิ่งทุกข์ เพราะที่เราได้มาจากสิ่งภายนอกนั้นมันไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงแต่เป็นความทุกข์ที่แสดงตัวในรูปที่ทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นสุขต่างหาก....

ถ้าเราลองมองย้อนกลับไปสู่ความคิดของเราตอนต้นที่ว่า "ฉัน ต้องการ ความสุข" เราก็จะเห็นว่าทำอย่างไรจึงจะมี "ความสุข" นั่นก็คือตัด "ตัวฉัน" ตัด "ความต้องการ" ออกไปเสีย มันก็จะเหลือแค่"ความสุข" เท่านั้นเอง

จิตใจที่มีความดิ้นรนด้วยความทะยานอยากความต้องการอยู่ตลอดเวลานั้นย่อมไม่อาจสัมผัสได้ถึงความสุขเลย เพราะความสุขนั้นมีความสงบอ่อนโยน ปลอดโปร่งโล่งเบาเป็นลักษณะ ดังนี้เมื่อใดเราปราศจากความยึดถือว่าตัวเราต้องการ หรือนี่ความต้องการของเรา จิตใจก็หยุดดิ้นรน เมื่อนั้น"ความสุข" ย่อมปรากฏขึ้นแก่ใจเราโดยอัตโนมัติ


 
(ติกฺขปัญฺโญ)

นิพพาน...คือพุทธศาสนา

ถ้าไม่มีเรื่องนิพพาน พุทธศาสนาก็เท่ากับไม่มี
เมื่อไม่สนใจนิพพาน ก็เท่ากับไม่สนใจพุทธศาสนา

นิพพานไม่เกี่ยวกับความตายโดยประการทั้งปวง
คำว่านิพพานนี้ แปลว่าเย็น
...เมื่อเป็นคำชาวบ้าน พูดกันตามบ้านเรือนก็แปลว่า เย็น

เมื่อมาเป็นคำภาษาธรรมในศาสนา
ก็ยังแปลว่าเย็นอยู่นั่นเอง
แต่หมายถึงเย็นจากไฟกิเลส
(ท่านอาจารย์  พุทธทาส)

การตัดกรรม

"...การตัดกรรม
ก็คือหยุดทำความชั่ว ความบาป

การตัดเวร
ก็คือหยุดการพยาบาทอาฆาตจองเวรซึ่งกันและกัน

...เพราะฉะนั้น การที่เราไปทำพิธีตัดกรรมนี่
หมายถึง ตัดผลของบาป มันตัดไม่ได้ อย่าไปเข้าใจผิด...."

(หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)

เวลาที่หมดไปอย่างน่าเสียดาย

เวลาที่หมดไปสิ้นไป โดยไม่ทำอะไรที่เป็นคุณประโยชน์แก่ตัวเองบ้างในชีวิตที่เกิดมาในโลกและได้พบพระพุทธศาสนานี้ ช่างเป็นเวลาที่น่าเสียดายยิ่งนัก

(หลวงปู่สิม พุทธาจาโร)

วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555

อยู่ในความฝัน

จงอย่ามีชีวิตอยู่ด้วยความฝัน เพราะมันจะทำให้ทุกคืนวันของเรานั้นหลับอยู่ในห้วงแห่งทะเลทุกข์ตลอดไป.

(ติกฺขปัญฺโญ)

วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2555

นักกฎหมายไม้บรรทัด

นักกฎหมายเปรียบเหมือนไม้บรรทัดของสังคม กฎหมายและระบบกฎหมายก็เหมือนปากกาที่คอยขีดเส้น หากไม้บรรทัดคดไปโกงมาต่อให้มีปากกาดีแค่ไหนก็ไม่อาจจะขีดเส้นให้ตรงได้เลย.

(ติกฺขปัญฺโญ)

กำมือ...แบมือ

"เวลาเกิดมาก็ "กำมือ" นี่ของกูๆ แต่เวลาตายก็ "แบมือ" ให้เขารดน้ำเอาอะไรไปไม่ได้เลย มาก็มามือเปล่า ไปก็ไปมือเปล่า แล้วจะไปแก่งแย่ง โกงสมบัติกันทำไม จำไว้ เงินทองเป็นอสรพิษ ไม่ใช่ของเราอย่าเอาไป มันจะทำร้ายที่หลัง"

พระธรรมสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมฺโม)

อย่าให้เสียที

ช่วงชีวิตของมนุษย์นั้นแสนสั้น จงดำเนินชีวิตทุกวันด้วยสติปัญญาเถิด อย่าให้เสียทีที่เกิดเป็นมนุษย์เลย

(ติกฺขปัญฺโญ)

วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ตายแน่นอน

ความตายเป็นของแน่นอน เวลาตายเป็นของไม่แน่นอน เราต้องตายแน่ เพราะทุกชีวิตมีความตายเป็นที่สุด…เมื่อมันเป็นของธรรมดาเช่นนี้คือไม่อาจจะให้เป็นไปตามความต้องการของใครได้ มันเป็นไปตามเหตุและปัจจัย แล้วลองถามตัวเองซิว่า
"บัดนี้เราทำอะไรอยู่?"

(ติกฺขปัญฺโญ)

วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สวย หล่อ ที่คงทน

ความสวย ความหล่อ อันเกิดจากหนังกำพร้าเป็นแต่เพียงภาพลวงตา เมื่อผ่านกาลเวลาหนังกำพร้าที่ฉาบทาก็หย่อนยาน ท้ายที่สุดเมื่อเผาไฟก็ไม่เหลืออะไร...สิ่งที่คงทนคือความสวย ความหล่อจากภายในจิตใจ ที่ประกอบด้วยบุญกุศลอันเกิดจาก ทาน ศีล ภาวนา ไม่ใช่หนังกำพร้าที่มัวหลงกัน

ชีวิตคู่จะราบเรียบหรือไม่นั้นไม่อาจจะการันตีได้จากหนังกำพร้า หากแต่การันตีได้จากคุณธรรมภายในใจ คือ ต้องมีศรัทธา ศีล จาคะ และปัญญาเสมอกัน คอยชักชวนกันเดินไปบนเส้นทางแห่งบุญกุศลอันมีที่สุดคือหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง.

(ติกฺขปัญฺโญ)

สติในปัจจุบัน

จะดีใจ เสียใจ สุข ทุกข์ หัวเราะ หรือว่าร้องไห้ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นความไม่ปกติแห่งจิตทั้งนั้น ผู้ที่มีสติรู้อยู่กับปัจจุบันย่อมเป็นผู้มีปกติไม่ดีใจ ไม่เสียใจ ไม่สุข ไม่ทุกข์ ไม่หัวเราะ ไม่ร้องไห้ จะมีจิตใจที่ว่าง สว่าง สงบในความเป็นกลาง.

(ติกฺขปัญฺโญ)

วันอังคารที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2555

อย่าหลงทาง

อย่าหลงทางไปตามความอยากและความคาดหวัง เพราะว่าเบื้องหลังมันเต็มไปด้วยความทุกข์ ความเศร้าหมองแห่งกายและใจ

(ติกฺขปัญฺโญ)

ให้

"ให้" คำนี้จำไว้ให้ขึ้นใจ เพราะมันไม่เคยทำให้ใคร ทุกข์

(ติกฺขปัญฺโญ)

เช่นนั้นเอง


จะสุขจะทุกข์ จะดีจะเลว
จะอร่อยไม่อร่อย จะร้อนจะหนาว
จะรักจะเกลียด จะอะไรก็ตามทึ่มันเกิดขึ้น
ล้วนแล้วแต่เป็น "เช่นนั้นเอง"

(ติกฺขปัญฺโญ)

วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ทำความดี

เมื่อทำความดีมันก็ดีที่การกระทำนั้นแล้วไม่ต้องรอได้ดีที่ไหน…ทำความชั่วมันก็ชั่วเมื่อทำกระทำนั่นแล้วไม่ต้องรอได้ชั่วที่ไห

จะดีจะชั่วก็อยู่ทึ่ตัวทำ จะสูงจะต่ำก็อยู่ที่ทำตัวนั่นเอง.

(ติกฺขปัญฺโญ)

วันเสาร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ศรัทธาในคุณค่าของการปฏิบัติธรรม

 
ถึงแม้ว่าพุทธศาสนาไม่ยกศรัทธาเป็นใหญ่ เหมือนศาสนาบางศาสนาก็จริง แต่อย่างน้อย เราต้องมีศรัทธาในคุณค่าของการปฏิบัติธรรม เชื่อมั่นว่าความพ้นทุกข์มีจริง เชื่อมั่นว่าการประพฤติปฏิบัติตามหลักคำสั่งสอนของพระพุทธองค์เป็นทางไปสู่ความดับทุกข์จริง เชื่อว่าการทำสมาธิภาวนาสามารถนำเราไปสู่ความสงบสุขได้ ศรัทธาเหล่านี้จะแรงกล้าและปลอดภัยไม่งมงายด้วยพลังปัญญาคอยเกื้อหนุนจุนเจือ ปัญญานั้นเห็นโทษในกิเลส เกิดความเบื่อหน่ายในการที่จะเป็นทาสของมันอีกต่อไป

- พระอาจารย์ชยสาโร-

วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2555

นอนอย่างมีสติ

ก่อนพักผ่อนนอนหลับคืนนี้ ลองสักเกตดูสักทีว่าก่อนนอนรู้สึกอย่างไร ล้มตัวลงที่นอนรู้สึกอย่างไร รู้สึกทั่วๆบริเวณร่างกายที่สัมผัสที่นอน หายใจเข้าเป็นอย่างไรเคยรู้ไหม หายใจออกเป็นอย่างไรเคยรู้ไหม ทั้งสองลมรู้สึกต่างกันหรือป่าวลองสังเกตดูจนหลับไป…เท่านี้เอง การเจริญสติง่ายๆในอริยาบถนอน

(ติกฺขปัญฺโญ)

วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ถวายพระพร

ขอนบน้อมบังคมก้มลงกราบ
แทบพระบาทราชันย์แห่งสยาม
พระจริยาวัตรปฏิบัติแสนงดงาม
ทุกเขตขามทรงยาตราพาร่มเย็น

ธ ทรงเป็นดั่งบิดาประชาราษฎร์
...
ธ ประกาศความพอเพียงเลี่ยงทุกข์เข็ญ
ธ ทรงใช้ทศพิธราชธรรมนำไทยเย็น
ธ บำเพ็ญมหาทานทุกกาลไกล

ทรงเป็นกษัตริย์นักพัฒนาพารุ่งโรจน์
ใช้ธรรมโปรดปวงประชาดั่งเชื้อไข
ให้ดำรงคงอยู่เชิดชูไทย
ดวงหทัยเปี่ยมเขตด้วยเมตตา

ขอพรพระให้ทรงพระเกษมศรี
เทพเทวีช่วยปกปักคอยรักษา
ให้พระพลานามัยแข็งแรงมา
พระกายามีสุขทุกข์จางคลาย

ขอบังคมด้วยใจอภิวาท
แทบพระบาทบาทาพร้อมถวาย
ด้วยจงรักภักดีทั้งใจกาย
ชีพถวายไว้รองบาททุกชาติเอย.

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้านายสุทธิลักษณ์ น้อยหร่าย (ครูเบิร์ด…/ติกฺขปัญฺโญ)