วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2554

บวชแต่ตัว

     บางครั้งการถือบวชโดยที่ไม่ได้รู้ ไม่ได้เข้าใจเกี่ยวกับการบวชที่แท้จริง ก็ไม่ได้ช่วยเปลี่ยนแปลง หรือยกระดับ หรือพัฒนาจิตใจของคนได้....
เพราะบวชอย่างไม่รู้ บวชอย่างไม่เข้าใจ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะคนเราทุกวันนี้บวชแต่กาย ไม่ได้บวชจิตไม่ได้บวชใจ จึงละกิเลส และความคิด รวมถึงทัศนคติอย่างหยาบๆไม่ได้เสียที...อันเข้าตำราโบราณที่ว่า "บวชก็เปลืองผ้าเหลือง สึกมาก็เปลืองผ้าลาย"
     ยิ่งบวชนาน ยิ่งบาปหนา ยิ่งบวชมาก ยิ่งบาปมาก จึงมิใช่การบวชอย่างที่พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญ เพราะมิใช่การตัด การละ การวาง การคลาย การสละ เสียซึ่งกิเลสอาสวะทั้งหลาย ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการทิ้งโคตรตัวเองเพื่อเป็นพุทธบุตรมีศากยะเป็นโคตร การโกนหัว นุ่งห่มผ้ากาสาวพัตรนั้น เป็นแต่เพียงรูปแบบพิธีกรรมเท่านั้น หากแต่สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือ การบวชจิต บวชใจของผู้ที่จะเข้าสู่ร่มพระบรมโพธิสมภารแห่งพระบวรพุทธศาสนาต่างหาก ที่เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง กล่าวคือ ในสมัยพุทธกาลนั้นบุคคลผู้ที่จะได้รับการอุปสมบทจากพระตถาคตเจ้านั้นต้องเป็นผู้ที่บรรลุธรรมอย่างน้อยมีโสดาปัตติผลเป็นเบื้องตน แล้วจึงได้บวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา แต่ในปัจจุบันนี้บุคคลผู้ที่จะเข้าตำรา บวชจิตบวชใจนั้นหมายความถึงผู้ที่มีปฏิปทาอย่างแน่วแน่มั่งคงมุ่งตรงต่อพระนิพพาน มีศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เสมอกัน เป็นผู้มีศีลเป็นปกติคลองใจไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย มุ่งเจริญรอยตามบาตรพระศาสดา นี่จึงจะถือว่าเป็นผู้บวชจิต บวชใจ อันเป็นการบวชในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง..

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น