วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2554

ศีล สมาธิ ปัญญา

        "ศีล" ตรงกับภาษาบาลีว่า สีล ตามศัพท์ แปลว่า ปกติ หมายความว่า คนที่มีจิตเป็นปกติ ไม่ถูก โลภะ โทสะ โมหะ ครอบงำ และชักไปทำชั่วทำผิด จิตเป็นปกติ เมื่อจะทำอะไรทางกายด้วยจิตที่เป็นปกติ ก็ไม่ทำกายทุจริต เมื่อจะพูดอะไรทางวาจา ก็ไม่พูดวจีทุจริต เมื่อคิดเรื่องราวอะไรทางใจ หรือทาง มนะ ก็ไม่คิดเป็นมโนทุจริต, เพราะฉะนั้น ใจจึงเป็นศีล, ทำทางกาย กายก็เป็นศีล, ทำทางวาจาวาจาก็เป็นศีล, คิดทางมนะ มนะก็เป็นศีล, แต่ถ้า โลภะ โทสะ โมหะ อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นครอบงำจิต ก็ทำให้คิดอยากได้ ให้คิดล้างผลาญ ให้หลงงมงาย ทีนี้เสียปกติ จิตก็วิปริต เสียศีลภายในทางใจ เมื่อศีลทางใจเสียไปแล้ว ทำอะไรทางกายด้วยอำนาจ พูดทางวาจาก็เป็นวจีทุจริต คิดทางมนะก็เป็นมโนทุจริต โดยตรงเป็น เช่นนี้. แต่เมื่อมุ่งเอาอาการที่ปรากฏก็คือทางกาย ทางวาจา, เพราะทางใจคนอื่นรู้ด้วยไม่ได้ รู้ได้แต่ตัวเอง. คนที่เว้นจากทำชั่วทางกายก็เป็นศีลทางกาย, เว้นชั่วทางวาจา ก็เป็นศีลทางวาจา, คนที่รักษาศีลกันอยู่โดยมาก รักษาศีลทางกายวาจาไม่ถึงใจ แต่ถึงเช่นนั้นก็ยังดีกว่าไม่มีเสียเลย, ถึงใจจะไม่เป็นปกติเป็นศีลแท้ แต่กายก็ไม่ทำทุจริต วาจาไม่พูดทุจริต ยังดีกว่าทำกายทุจริต พูดวจีทุจริต, เมื่อรักษาศีลทางกาย ทางวาจา ไปจนเตือนใจ สกิดใจ ให้ใจสงบจาก โลภะ โทสะ โมหะ ได้ แม้ชั่วครู่ชั่วขณะ นี่เป็นศีลทางใจ เป็นศีลแท้.
        "สมาธิ" คือ จิตที่ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว แน่วแน่ ต่อเนื่อง ไม่ฟุ้งซ่าน
        "ปัญญา" คือ ความรู้ทั่ว, ความรู้เข้าใจชัดเจน, ความรู้เข้าใจหยั่งแยกได้ในเหตุผล ดีชั่ว คุณโทษ ประโยชน์มิใช่ประโยชน์, ความรอบรู้ในกองสังขารมองเห็นตามความเป็นจริง
       
         ดังนี้การใช้สติกำหนดรอบรู้อิริยาบถ ทั้งยืน เดิน นั่ง นอน คู้แขน เหยียดขา ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ จะพูดจะจา จะคิด จะนึก ย่อมเป็นไปเพื่อความสำรวมระวังในกาย วาจา ใจ อันเป็นการสะกัดกั้นมิให้อาสวะกิเลสทั้งหลายผ่านเข้ามาทาง อายตนะทั้ ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ดังนั้นโลภะ โทสะ โมหะ ย่อมไม่ครอบงำจิต ให้มีความเป็นปกติไม่ทำการอันเป็นบาปอกุศล มีปกติไม่ประพฤติชั่วทั้งกาย วาจา ใจ นี่แหละท่านทั้งหลาย "ศีล" จึงเกิด เมื่อศีลนั้นได้เกิดมีแล้วอย่างไร เราก็ยังคงดำรงสติประพฤติปฏิบัติด้วยความตื่นรู้อยู่กับปัจจุบันธรรมด้วยความต่อเนื่องแน่วแน่ ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่หวันไหว ย่อมยังให้บังเกิด "สมาธิ" เมื่อบังเกิดความแน่วแน่แห่งจิต ความสม่ำเสมอเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของสติและจิตแล้ว ได้น้อมนำเอาสภาวะธรรมใดๆที่เกิดขึ้นในขณะนั้นๆ ไม่ว่าจะ ทุกข์ ไม่ว่าสุข ไม่ว่าจะเฉย ไม่ว่าจะดี ไม่ว่าจะไม่ดี หรืออื่นใดก็ตาม มาพิจารณาว่าสิ่งทั้งหลายนั้นมันเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน หากเราเห็นด้วยเหตุด้วยผลด้วยความรอบรู้ในกองสังขารตามความเป็นจริงเช่นนี้ท่านว่า เมื่อนั้น "ปัญญา" ย่อมบังเกิด
          ท่านทั้งหลายครับสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้แก่เรานั้นแท้จริงแล้วไม่ได้มีอะไรมากมายเลย ธรรมะไม่ใช่ของมากมายยุ่งยากอะไร พระวินัย ๒๑๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ย่นย่อแล้วก็คือ ศีล พระสูตร ๒๑๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ย่นย่อแล้วก็คือ สมาธิ พระอภิธรรม ๔๒๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ย่นย่อแล้วก็คือ ปัญญา หากจะพูดให้สั้นเข้าไปอีกก็เหลือเพียง ๑ เดียว คือ สติ นี่แหละตัวสำคัญที่สุด ดังนั้นหากเราและท่านทั้งหลายเป็นชาวพุทธ เป็นบุตรแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วจึงเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่จะทำความเข้าใจในธรรมะ ด้วยความเป็นธรรมดาของธรรมชาติ หาใช่เป็นสิ่งโบราณคร่ำครึ หรือสิ่งที่เข้าใจยากหรือสิ่งที่ไกลตัว หมั่นกำหนดรอบรู้อยู่ในปัจจุบันธรรม อย่ามัวแต่ผลัดวันประกันพรุ่ง เพราะความตายนั้นจะมาถึงเราในวันนี้ หรือพรุ่งนี้ก็ยังไม่รู้ ช่างน่าเสียได้ที่เป็นเกิดมาเป็นมนุษย์ และประเสริฐสุดได้พบพระพุทธศาสนา...กลับไม่เห็นคุณค่าหมดราคา และก็จะตายไปเปล่าๆไม่ได้อะไรเลย...

.....การกำหนดรู้ลมหายใจ และอิริยาบถใหญ่น้อย คือ ศีล....
.....ปฏิบัติโดยต่อเนื่อง แน่วแน่ คือ สมาธิ.....
......เห็นตามความเป็นจริงว่า มันไม่เที่ยง คือ ปัญญา......
(ครูเบิร์ด ติกฺขปญฺโญ)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น