แพ้หรือชนะเป็นเรื่องสมมุติของใจ ความไม่อยากแพ้นี้เรียกว่าวิภวตัณหา คือไม่อยากมีไม่อยากเป็น อันเกิดจากมานะ คือความถือตัวว่าเราดีกว่าเขา เราจะแพ้เขาไม่ได้ แล้วเราก็เข้าไปถือมั่นในอารมณ์นั้น ที่เราหยุดความอยากเอาชนะไม่ได้นั่นก็เพราะเราไม่เคยหยุดคิด เพราะสติตามไม่ทัน ...ลองกำหนดที่ลิ้นปี่หายใจยาวๆ ว่าคิดหนอๆ คิดว่า..ถ้าเราชนะเราจะได้อะไรหนอ ถ้าเราแพ้เราจะเสียอะไรหนอ ดูตามความเป็นจริงหายใจลึกๆ จากจมูกถึงสะดือ จากสะดือถึงจมูก ปัญญาก็จะเกิดขึ้นให้รู้เท่าทันว่า อ๋อ...จะเราหรือเขานั้นมันก็ไม่มี แพ้หรือชนะมันก็ไม่มี มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านัั้นที่ดับไป ดังน้ันเราจึงมีแค่สองทางเลือก คือ เพิ่มทุกข์ หรือ ดับทุกข์ ลองใช้สติกำหนดรู้พิจารณาดูเถิด เปรียบเหมือนหินที่มันหนักนี้ มันจะหนักเมื่อไรเล่าก็เมื่อเราไปยก ยกเมื่อไรมันหนักเดี๋ยวนั้นแหละ นั่นคือทุกข์มันเกิด ณ ปัจจุบันธรรม หากเราอยากหายหนักทำไงเล่า มีสองทางคือ ขว้างใส่คนอื่น หรือวางหินนั้นลง ฉันใดก็ฉันนั้น หากเรารู้เท่าทั้นอารมณ์ของเราด้วยปัญญาแล้วสามารถเอาชนะมานะในตน เพื่อไม่ให้ถือมั่น เพื่อไม่ให้เกิดวิภวตัณหา สามารถละได้ วางได้ คลายได้ สละได้ เราย่อมได้ชื่อว่าผู้ชนะ ดังพุทธวัจนของพระพุทธองค์ที่ว่า ชัยชนะอันใดจะยิ่งใหญ่เสมอด้วยความชนะกิเลสในตนเองนั้นไม่มี...(ครูเบิร์ด ติกฺขปญฺโญ)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น