วันพุธที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2555
ความรักแบบพรหมวิหารธรรม
คือ การมีใจคิดเมตตาปรารถนาให้เขามีความสุข ในจุดนี้เป้าหมายก็คือความสุขของเขาหรือเธอที่เรารัก ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำลงไปแล้วควรกลับมาทบทวนอยู่เสมอๆว่าเรากำลังออกนอกเส้นทางไปคาดหวังกับสิ่งอื่นนอกเหนือจากความสุขของเขาและเธออันเป็นที่รักหรือไม่ ต่อมาเมื่อคนที่เรารักมีความทุกข์ก็ต้องพร้อมที่จะช่วยเหลือด้วยความปรารถนาอันดีเพื่อให้เค้าพ้นจากทุกข์ภัยที่กำลังเผชิญอยู่นั้น พร้อมที่จะอยู่เคียงข้างเสมอประมาณว่าเค้าทุกข์ขึ้นมายามใดมองไม่เห็นใครแต่จะเห็นเราเสมอ และเมื่อเขาสามารถผ่านพ้นอุปสรรคอันแสนทุกข์นั้นไปได้แล้วเราก็มีความยินดีในความสุขที่เค้าได้รับอย่างบริสุทธิ์ใจ และประการสำคัญคือใจที่มีอุเบกขาเพื่อความเป็นไปพร้อมด้วยความปราศจากตัวตน คือ วางเฉยต่อผลที่จะเกิดขึ้น ไม่ไปคาดหวังว่าทำอย่างนี้ๆ แล้วเค้าจะต้องตอบสนองกลับมาด้วยท่าทีอย่างนี้ๆ หรือหากช่วยแล้วเค้าไม่เห็นคุณค่าก็ไม่มีจิตคิดกังวลด้วยการย้อนกลับไปทบทวนเสมอๆที่ว่าเราทำเพื่อให้เขามีความสุข ช่วยเค้าให้ผ่านทุกข์ไปได้ และยินดีในความสุขของเขา ในทุกๆเรื่องที่เป็นเป้าหมายมีเพียงความสุขของเขาเท่านั้น ไม่ใช่ทำเพื่อตัวเรา ไม่ใช่เพื่อผลบางอย่างเกิดกับเรา....ความรักโดยปราศจากความยึดถือนี้ย่อมเป็นไปพร้อมเพื่อความสุข ความสงบแห่งจิต เพื่อคลายความยึดถือ เป็นรักที่ปราศจากทุกข์โดยสิ้นเชิง...ขอฝากไว้ครับ
วันอังคารที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2555
มารหรือซาตานที่แท้จริง
ฉะนั้นอย่าอวดดีว่า เรียนหนังสือมาก อ่านหนังสือมาก คิดมากอะไรมาก พูดก็เก่ง อะไรก็มีเครดิตดี ป่วยการเหลวไหลต้องสอบไล่กันที่นี่
ฉะนั้นซาตานนี่มีประโยชน์, ไม่ใช่เป็นผีมาหลอกคน เหมือนที่เขาเขียนรูปภาพโง่ๆ ไปอย่างนั้น, ซาตาน คือส่วนหนึ่งของธรรมะ เอาซาตาน ไปทิ้งไว้ที่ไหน ถ้าไม่รวมอยู่ในคำว่า ธรรม ธรรมทั้งปวง ไม่มีดอก ไม่มีอะไรนอกไปจากคำว่า ธรรมทั้งปวง.
ฉะนั้นส่วนที่มันจะมาทดสอบคนสอบไล่คน นั่นแหละคือซาตาน, มันก็มาจากสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ แต่มาในฐานะผู้สอบ หรือ ผู้ยั่วให้ทำผิด ทดสอบดูว่ามันเก่งหรือยัง? ถ้ามันเก่งจริง มันจะมายั่วอย่างไร มันก็ไม่ทำผิด ซาตานก็ดับไปเป็นธรรมตามธรรมดา.
เดี๋ยวนี้สอนกันโง่ๆ ผิดๆ ว่า ซาตานเป็นคู่ต่อสู้กับพระเจ้า ผมว่าโง่ที่สุดเลย พระเจ้าส่งมาทดสอบคนสอบไล่คน ถ้าเมื่อไม่โง่กว่าซาตาน ก็ใช้ได้ เป็นคนของพระเจ้า.
ซาตานเป็นเครื่องมือของพระเจ้า, นี้ไปเขียนเป็นรูปผีปีศาจน่าเกลียดน่ากลัว นั้นก็โง่. ซาตานต้องมาในรูปร่างที่หน้าแฉล้มแช่มช้อยน่ารักน่าหลงใหลและก็มาเพื่อทดสอบคน เพราะฉะนั้นคนจะไปโกรธได้หรือ จะไปโกรธไปโลภไปหลงอะไรได้, เรื่องนั้นมันน่ารัก มันยั่วยวนเกินไป; ถ้ามาในเรื่อง น่าเกลียด มันก็ไม่เกิดอะไรขึ้น แต่มันมาในลักษณะที่ยั่วยวนจนเกินไป มันจึงหลงไปได้.
ซาตานเป็นเครื่องมือของพระเจ้า, นี้ไปเขียนเป็นรูปผีปีศาจน่าเกลียดน่ากลัว นั้นก็โง่. ซาตานต้องมาในรูปร่างที่หน้าแฉล้มแช่มช้อยน่ารักน่าหลงใหลและก็มาเพื่อทดสอบคน เพราะฉะนั้นคนจะไปโกรธได้หรือ จะไปโกรธไปโลภไปหลงอะไรได้, เรื่องนั้นมันน่ารัก มันยั่วยวนเกินไป; ถ้ามาในเรื่อง น่าเกลียด มันก็ไม่เกิดอะไรขึ้น แต่มันมาในลักษณะที่ยั่วยวนจนเกินไป มันจึงหลงไปได้.
เดี๋ยวนี้ ไม่รู้จักแม้แต่สิ่งที่เรียกว่า ซาตาน นั้นคืออะไร. ผมกล้าพูดว่า พวกฝรั่งคริสเตียนก็ไม่รู้ว่า ซาตานคืออะไร เข้าใจผิดเป็นอย่างอื่นไป. เครื่องทดสอบของพระเจ้าคือซาตาน; นี้ถ้าเราไม่มีพระเจ้าเรามีแต่ธรรม ซาตานก็คือธรรมส่วนที่มาทดสอบให้ชื่อว่าพญามารที่มารบกวนพระพุทธเจ้า; นั่นแหละ ก็มาจากพระเจ้า มาทดสอบพระเจ้าสิทธัตถะ มาทดสอบพระพุทธเจ้าว่าเป็นพระพุทธเจ้าจริงไหม? จริง มันก็กลับไปหาธรรมเลย.
คำว่า ธรรมทั้งปวง มันรวมซาตานอยู่ด้วย; แต่ เราเรียกว่า มาร, มารผู้มีบาป : มาโร ปาปิมา เรียกชื่ออย่างนี้ทุกที. มารผู้มีบาป บาปคือธรรม ธรรมฝ่ายบาป, บาปธรรม มาทดสอบมนุษย์. พูดให้เป็นวิทยาศาสตร์ง่ายๆก็ว่า ความคิดเลวๆ ที่มันแทรกเข้ามาเป็นครั้งๆ คราวๆ อย่างพระสิทธัตถะ กระอักกระอ่วนจะกลับไปบ้านดีไหม ก็มี, มาร มากระซิบ ให้กลับไปบ้าน ทางบ้านยุ่งใหญ่แล้ว ลูกเมียขณะนั้นก็หวนระลึกแล้วก็ต่อสู้ไม่กลับไปมารก็หายไปจึงสำเร็จ เป็นพระพุทธเจ้า. นี่ก็คือความคิดเลวๆ, อกุศลธรรม มาแทรกแซงชั่วคราว.
นี่คือซาตาน มารผู้มีบาป แม้ในวาระสุดท้ายว่า นิพพานเสียเถอะ อย่าไปเที่ยวสอนเลย.พระพุทธเจ้าก็ว่า ยัง มนุษย์ยังไม่รู้ธรรมะ เรายังไม่นิพพาน. ทีนี้พอถึง ๓ เดือนจะนิพพาน มารทูลให้นิพพาน; เอ้า เข้าที, ก็บอกว่า ๓ เดือน แต่นี้จะนิพพาน.
มันไม่มีอะไร นอกจากสิ่งที่เรียกว่า ธรรม มีความหมายกว้าง แล้วความเป็นธรรมนี้ มันเป็นธรรมฝ่ายถูก หรือ เป็นธรรมฝ่ายผิด, ธรรมฝ่ายตัวกู หรือธรรมฝ่ายที่ไม่มีตัวกู. ถ้าธรรมฝ่ายตัวกู คือ ฝ่ายอกุศลธรรม แล้วก็แย่เลย ความจริง ความถูกต้อง ความงาม ความยุติธรรม ตามแบบนั้น มันกลืนไม่ลง มันไม่ไหว, มันต้องเป็นตามแบบของ ฝ่ายที่ไม่มีตัวกู ไม่มีของกู จึงจะน่ารัก น่าบูชา น่านับถือ.
นี่ดูเถอะ ความทุกข์มันตั้งต้นเมื่อไร? ตั้งต้นเมื่อ รู้จักความดี และความชั่ว อย่างผิดๆ, มันไปรู้จักเรื่องความดี และความชั่วผิด จึงยึดมั่นถือมั่น มีตัวกู ยกหูชูหาง ฟันต่อฟัน ตาต่อตา คือยุติธรรม. นี่มันเข้าใจ ความดีความชั่วผิด, แล้วต่อมาก็เข้าใจ ความดีความชั่วถูก ก็โอ๊ย ไม่ไหว, ที่ไม่เอาอะไรเลย นั่นแหละคือยุติธรรม คือ มันปกติ หรือ สมดุลย์ เมื่อเราไม่ต้องการอะไรเลย.
ฟันต่อฟัน ตาต่อตา นี้ไม่เอา มันเป็นเรื่องบาปมาทีแรก ฝ่ายหนึ่ง, แล้วอีกฝ่ายหนึ่งจะไปบาปเพิ่มขึ้น แล้วฝ่ายโน้นก็บาปกลับมาอีก แล้วฝ่ายนี้ก็บาปกลับไปอีก เพิ่มขึ้นเป็นคู่ๆคู่ๆ; นี่หรือคือความยุติธรรม. เขาด่าเรา เขาก็เป็นฝ่ายบาป หรือฝ่ายสกปรก; แล้วเราไปด่าเขา เราก็เป็นฝ่ายบาป เขาด่ามาอีก แล้วเราก็ด่าไปอีก เป็นคู่ๆมาอย่างนี้ ฟันต่อฟัน ตาต่อตา ไม่มีความสงบ ไม่มีความสุข; แต่เรียกว่า เป็นธรรม ตามแบบของกิเลส ถูกต้องหรือยุติธรรมตามแบบของกิเลส.
ทีนี้ไม่ต้องการแพ้ ไม่ต้องการชนะ มันก็เลยหมดปัญหา ถ้าต้องการชนะ ชนะภาษาคนนะ ก็คือ จะเพิ่มคู่ๆๆๆ ความเลวขึ้นมาทีละคู่ ทีละคู่ แล้วก็ผลัดกันแพ้ ผลัดกันชนะ, ผลัดกันแพ้ ผลัดกันชนะเรื่อยไป ไม่มีที่สิ้นสุด, แล้วมันก็วินาศไป แล้วมันก็ไม่มีทางที่จะแพ้จะชนะกันได้ เพราะมันรบกับพระเจ้า. การที่เราทำผิด ทำชั่วนี้ คือ รบกับพระธรรม รบกับพระเจ้า; อย่าไปเข้าใจว่า รบกับเด็กคนหนึ่ง พระองค์หนึ่ง เณรองค์หนึ่ง อะไรนี่ที่เกิดโลภะ โทสะ โมหะ ขึ้นมา เป็นเรื่องเป็นราว เป็นปัญหา, คือว่ามันรบ รบกับธรรมะ รบกับพระเจ้า ไม่มีทางชนะดอก; เพียงแต่พระเจ้าส่งซาตานมา นิดเดียว มันก็ฉิบหายหมดแล้ว, ไม่มีทางชนะพระเจ้าได้. นี้เราจะไม่รบกับพระธรรม คือกฏของธรรมชาติ หรืออะไรที่เรียกว่าเป็น ตัวธรรม, เราทำให้มันถูก ให้มันชนะเรื่อย คือไม่แพ้ และไม่ชนะ, ไม่แพ้และชนะ ตามแบบภาษาคน คือชนะตลอดกาล ตามแบบภาษาธรรม, ไม่มีเรื่องเกิดขึ้น ไม่มีปัญหาเกิดขึ้น ไม่มีความทุกข์เกิดขี้น ไม่มีตัวกู-ของกูเหลืออยู่ มันก็สิ้นสุด.
เอาละผมหวังว่า ทุกๆองค์นี้ จะฟังด้วยดี, แล้วไปคิดด้วยดี เพราะนี้คือที่มัน condensed ออกมาจากพระไตรปิฎกจากไบเบิลจากอะไร จากคัมภีร์ทุกแขนง มาเป็นคำพูดเพียงไม่กี่ประโยค เอามาพูดให้คุณฟัง; ก็เหมือนกับฟังทั้งหมดในโลก, ฟังพระธรรมคำสอน พระคัมภีร์ทั้งหมด ที่มีอยู่ในโลก มันเรื่องตัดตัวกู-ของกูเท่านั้น, ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น, ประจำวัน ประจำคืนนี้ ต้องพยายามตัด ตัวกู-ของกู; ถ้าตัดยังไม่ได้ ก็ควบคุมให้ได้, อย่าให้ตัวกู-ของกู ขึ้นมาบงการ จริงอย่างนั้นถูกอย่างนี้ ยุติธรรมอย่างนั้น, อย่าให้มันขึ้นมาบงการ. ให้จิตของเรา ว่างจากตัวกู-ของกู อยู่เรื่อย จิตมันรู้เอง จิตจะเป็นผู้รู้เอง, จิตที่ว่างจากตัวกูมันจะรู้เองว่าอะไรยุติธรรม อะไรไม่ยุติธรรม, และควรทำอย่างไร ในกรณีนี้, แล้วจิตชนิดนี้ มันจะแสวงหาคำตอบ จากพระพุทธเจ้า จากพระเยซู, จิตมีสติสัมปชัญญะ จิตชนิดนี้ มันจึงสามารถ จะถาม พระพุทธเจ้าได้ว่าควรทำอย่างไรในกรณีนี้, รอเวลา ๑๐ นาที ๕ นาที ก็ถมไป ก็ได้คำตอบที่ดี เรื่องมันก็สิ้นสุดลงไป.
ฉะนั้น จะต้องถือว่า ไม่ใช่เรื่องพูดสนุกๆ หรือว่าพูดเล่นลิ้น เล่นโวหาร เล่นสำนวน; แต่เป็นเรื่องที่กลั่นกรองมาจากทั้งหมดของพระคัมภีร์ มาพูดให้ฟัง เพื่อประหยัดเวลา. โดยส่วนตัว คุณก็ทำสิ่งต่างๆ ที่เป็นประโยชน์แก่วัด หรือแก่ผม หรือตามความต้องการของผม, ผมก็ควรจะขอบใจ แล้วสิ่งที่จะตอบสนองก็คือสิ่งนี้ ที่มันดีที่สุด.
(พุทธทาสภิกขุ)
ธ-ปาฎิ-๒ ๓๑.ก/๓๓๑-๓๓๔
ดำรงอยู่อย่างไร
มนุษย์เรานี้กำลังดำรงอยู่ด้วยความเข้าใจผิดๆนะครับ ด้วยการเข้าไปสำคัญมั่นหมายว่ากายนี้ใจนี้เป็นตัวเราเป็นของของเรา ก็เกิดรักใคร่เหนียวแน่นขึ้นมา อยากที่จะบำรุงบำเรอกายนี้ใจนี้ให้มันมีความสุข ไม่อยากให้กายนี้ใจนี้มีความทุกข์ ก็เที่ยวแสวงหา รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัสทั้งหลายจนใจตกเป็นทาสสิ่งเหล่านี้ โดยอยากที่จะให้มันอยู่กับเรานานๆ อยากให้กายนี้สุขถาวร อยากให้ใจนี้สุขถาวร....มันมีแต่ความอยากเต็มไปหมด แล้วได้ความอยากชนิดนี้นี่แหล่ะมันถมเท่าไรก็ไม่มีวันเต็ม ดังที่พุทธองค์ทรงตรัสว่าห้วงน้ำมหานทีที่จะกว้างใหญ่เสมอด้วยความอยากนั้นไม่มี แล้วตรัสว่าความอยากนี้เป็นสมุทัยเป็นเหตุแห่งทุกข์ทั้งหลาย....ดังนี้ท่านทั้งหลายลองมาพิจารณาดูเถิดว่าท่านกำลังดำรงอยู่ด้วยความเข้าใจผิด หรือว่าเข้าใจถูก อยู่โดยมีอำนาจเหนือรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส หรืออยู่โดยเป็นทาสแห่ง รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส กันแน่...ขอฝากไว้ให้ลองตรองดูนะครับ^_^
วันเสาร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2555
มรรคผลไม่พ้นสมัย
มรรคผลนิพพานนั้นไม่เคยพ้นสมัย ดังที่พุทธองค์ตรัสว่า "โลกนี้จะไม่ว่างจากพระอรหันต์ หากยังมีผู้ปฏิบัติถูกตรงตามสติปัฏฐาน๔" ท่านทั้งหลายลองพิจารณาดูเถิดว่าบัดนี้ท่านกำลังทำอะไรอยู่ กำลังเดินไปสู่ปลายทางคือทะเลทุกข์ หรือกำลังเดินไปสู่ปลายทางแห่งความสิ้นทุกข์ อันว่าการเกิดเป็นมนุษย์นั้นแสนอยาก แล้วพวกเราๆท่านๆกำลังใช้โอกาสของการได้เป็นมนุษย์นี้เพื่อการใดอยู่ หรือเราจะคิดเพียงแค่เกิดมาเป็นมนุษย์เพื่อแสวงหาอย่างมนุษย์ และตายอย่างมนุษย์เท่านั้น เหตุใดจึงไม่ใช้ความเกิดเป็นมนุษย์นั้นให้เป็นไปเพื่อตายอย่างพุทธเล่า...
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)