วันพุธที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เห็นตามความเป็นจริง

เมื่อเห็นตามความเป็นจริงย่อมเบื่อหน่าย
เมื่อเบื่อหน่ายย่อมคลายกำหนัด
เพราะคลายกำหนัดจึงหลุดพ้น
เมื่อหลุดพ้นแล้วย่อมมีญาณหยั่ง​รู้ว่าหลุดพ้นแล้ว
รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิ​ได้มี....(พุทธวจนะ)
.................................
     เมื่อเราพิจารณาถึงอายตนะภายใน หรือจุดรับสัมผัสการกระทบภายใน ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ว่าเป็นไปตามกฎแห่งพระไตรลักษณ์ คือ ความเป็นของไม่เที่ย​ง ความเป็นทุกข์ ความเป็นของไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ไม่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล จึงเรียกว่าเห็นตามความเป็นจริง เมื่อเห็นตามความเป็นจริงแล้วว่าทุกอย่างนี่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ย่อมเกิดความเบื่อหน่าย เมื่อเบื่อหน่ายย่อมคลายความกำหนัดคือความยินดีอย่างรุนแรง หรือความคล้อยตามอารมณ์ เมื่อจิตของปุถุชน คือ ผู้ที่หนาแน่นด้วยกิเลส นั้นคลายคว​ามกำหนัดลงเสียได้ จิตย่อมหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้วย่อมรู้ด้ว​ยญาณทัศนะ คือ ความรู้แจ้งว่า​หลุดพ้นแล้วจากอาสวะกิเลสทั้งหลาย อันมีรากเหง้าจากควา​มไม่รู้ และ ความโลภ ความโกรธ ความหลง จิตจึงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่นอย่างแท้จริง(เข้าถึงอรหัตถผล มีนิพพาน คือ ความดับแห่งทุกข์เป็นอารมณ์)จึงรู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว จึงชื่อว่ากิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี หมายถึงว่าไม่ต้องกลับมาเวี​ยนตายเวียนเกิดในสังสารวัฏฏ์อีกต่อไปชั่วอนันตกาล....การพิจารณาอย่างนี้เรียกว่าวิปัสสนา คือ ทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่ง
     พระสัทธรรมคำสอนที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้นั้นเป็นสิ่งที่สามารถพิสูจน์ได้ และให้ผลได้จริงทุกยุคสมัย  พระพุทธศาสนาสอนถึงเรื่องเห​ตุปัจจัยว่าหากกระท​ำสิ่งใดโดยเจตนาแล้วการกระท​ำย่อมให้ผลดีหรือผลร้ายสืบเ​นื่องกันไป ไม่ได้มีผู้ใดลิขิตขีดเขียน​ชีวิตเรา แต่การกระทำในครั้งก่อนๆของ​เรานี่แหละคือตัวกำหนด ดังสำนวนที่ว่า จะดี จะชั่ว อยู่ที่ตัวทำ จะสูง จะต่ำ อยู่ที่ทำตัว....