เมื่อเห็นตามความเป็นจริงย่อมเบื่อหน่าย
เมื่อเบื่อหน่ายย่อมคลายกำหนัด
เพราะคลายกำหนัดจึงหลุดพ้น
เมื่อหลุดพ้นแล้วย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว
รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี....(พุทธวจนะ)
เมื่อเบื่อหน่ายย่อมคลายกำหนัด
เพราะคลายกำหนัดจึงหลุดพ้น
เมื่อหลุดพ้นแล้วย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว
รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี....(พุทธวจนะ)
.................................
เมื่อเราพิจารณาถึงอายตนะภายใน หรือจุดรับสัมผัสการกระทบภายใน ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ว่าเป็นไปตามกฎแห่งพระไตรลักษณ์ คือ ความเป็นของไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความเป็นของไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ไม่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล จึงเรียกว่าเห็นตามความเป็นจริง เมื่อเห็นตามความเป็นจริงแล้วว่าทุกอย่างนี่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ย่อมเกิดความเบื่อหน่าย เมื่อเบื่อหน่ายย่อมคลายความกำหนัดคือความยินดีอย่างรุนแรง หรือความคล้อยตามอารมณ์ เมื่อจิตของปุถุชน คือ ผู้ที่หนาแน่นด้วยกิเลส นั้นคลายความกำหนัดลงเสียได้ จิตย่อมหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้วย่อมรู้ด้วยญาณทัศนะ คือ ความรู้แจ้งว่าหลุดพ้นแล้วจากอาสวะกิเลสทั้งหลาย อันมีรากเหง้าจากความไม่รู้ และ ความโลภ ความโกรธ ความหลง จิตจึงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่นอย่างแท้จริง(เข้าถึงอรหัตถผล มีนิพพาน คือ ความดับแห่งทุกข์เป็นอารมณ์)จึงรู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว จึงชื่อว่ากิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี หมายถึงว่าไม่ต้องกลับมาเวียนตายเวียนเกิดในสังสารวัฏฏ์อีกต่อไปชั่วอนันตกาล....การพิจารณาอย่างนี้เรียกว่าวิปัสสนา คือ ทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่ง
พระสัทธรรมคำสอนที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้นั้นเป็นสิ่งที่สามารถพิสูจน์ได้ และให้ผลได้จริงทุกยุคสมัย พระพุทธศาสนาสอนถึงเรื่องเหตุปัจจัยว่าหากกระทำสิ่งใดโดยเจตนาแล้วการกระทำย่อมให้ผลดีหรือผลร้ายสืบเนื่องกันไป ไม่ได้มีผู้ใดลิขิตขีดเขียนชีวิตเรา แต่การกระทำในครั้งก่อนๆของเรานี่แหละคือตัวกำหนด ดังสำนวนที่ว่า จะดี จะชั่ว อยู่ที่ตัวทำ จะสูง จะต่ำ อยู่ที่ทำตัว....